คดีหมายเลขแดงที่ อ.290/2552 คดีหมายเลขดำที่ อ.251/2550
โดยที่ มาตรา 39 แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 บัญญัติว่า ในระหว่างที่ยังไม่มีการกำหนดมาตรฐานกลาง มาตรฐานทั่วไป หลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของพนักงานเทศบาล ให้พระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศหรือคำสั่งเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของพนักงานเทศบาล ที่ใช้บังคับอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้ คดีนี้ขณะเกิดเหตุพิพาท คณะกรรมการพนักงานเทศบาลจังหวัดยังมิได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของพนักงานเทศบาลหรือลูกจ้างของเทศบาล การดำเนินการต่าง ๆ ของลูกจ้างเทศบาลจึง อยู่ในบังคับของระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการจ้างลูกจ้างของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2536 ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ถูกฟ้องคดี (นายกเทศมนตรีนครลำปาง) ได้มีคำสั่งลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2544 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนผู้ฟ้องคดีกรณีถูกกล่าวหาว่าหย่อนความสามารถในอัน ที่จะปฏิบัติหน้าที่ราชการ หากรับราชการต่อไป จะเป็นการเสียหายแก่ราชการ ซึ่งข้อ 3 ของกฎ ก.พ. ฉบับที่ 18 (พ.ศ. 2540) ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชพลเรือน พ.ศ. 2535 ว่าด้วยการสอบสวนพิจารณา กำหนดให้ผู้ถูกฟ้องคดีในฐานะผู้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน มีหน้าที่ต้องแจ้งคำสั่งดังกล่าวให้ผู้ฟ้องคดีทราบโดยเร็ว โดยให้ผู้ฟ้องคดีลงลายมือชื่อและวันที่รับทราบคำสั่งไว้เป็นหลักฐานด้วย ปรากฏว่าผู้ถูกฟ้องคดีมิได้แจ้งคำสั่งดังกล่าวให้ ผู้ฟ้องคดีทราบโดยตรง เนื่องจากได้ให้ผู้อื่นรับคำสั่งดังกล่าวแทน จึงไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้ฟ้องคดีได้รับทราบคำสั่งดังกล่าว ซึ่งทำให้ผู้ฟ้องคดีไม่อาจทราบได้ว่าผู้ฟ้องคดีถูกกล่าวหาในเรื่องใด และผู้ถูกฟ้องคดีแต่งตั้งผู้ใด ตำแหน่งใดเป็นคณะกรรมการสอบสวน ทำให้ผู้ฟ้องคดีไม่อาจใช้สิทธิคัดค้านกรรมการสอบสวนตามข้อ 8 ของกฎ ก.พ. ฉบับที่ 18 ดังกล่าว กรณีถือไม่ได้ว่า เป็นการแจ้งคำสั่งโดยชอบตามข้อ 5 (1) ของกฎ ก.พ. ฉบับเดียวกัน แต่เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2544 คณะกรรมการสอบสวนเรียกผู้ฟ้องคดีไปให้ถ้อยคำ คณะกรรมการสอบสวนได้แจ้งและอธิบายข้อกล่าวหาให้ผู้ฟ้องคดีทราบ ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้รับทราบข้อกล่าวหาและสิทธิในการแก้ ข้อกล่าวหาแล้ว และได้ยอมรับว่าได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหาทุกประการ โดยผู้ฟ้องคดีมิได้คัดค้านคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนแต่อย่างใด จึงเป็นกรณีที่ปรากฏชัดแจ้ง ผู้ถูกฟ้องคดี จึงไม่จำต้องสอบสวนตามวิธีการและขั้นตอนตามข้อ 5 (1) ของกฎ ก.พ. ฉบับที่ 18 ฉบับดังกล่าว แต่อย่างใด ทั้งนี้ ตามข้อ 2 (2) ของกฎ ก.พ. ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2539) ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชพลเรือน พ.ศ. 2535 ว่าด้วยกรณีหย่อนความสามารถ ในอันที่จะปฏิบัติหน้าที่ราชการ บกพร่องในหน้าที่ราชการ หรือประพฤติตนไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ราชการที่ปรากฏชัดแจ้ง กรณีจึงถือได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีได้ดำเนินการตามขั้นตอนและวิธีการที่กฎหมาย กำหนดเพื่อมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ส่วนการใช้ดุลพินิจของผู้ถูกฟ้องคดีในการออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีออก จากราชการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ นั้น เห็นว่า ผู้ฟ้องคดีมีพฤติการณ์ละทิ้งหน้าที่โดยไม่อยู่เวรเตรียมพร้อม จนถูกลงโทษทางวินัยมาแล้วสี่ครั้ง เป็นการจงใจไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการ และแสดงถึงความเป็น ผู้บกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ การให้ผู้ฟ้องคดีรับราชการต่อไปอาจเกิดความเสียหายแก่สาธารณชนและราชการได้ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวน รวมทั้งพยานหลักฐานต่างๆ และเห็นว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้หย่อนความสามารถ จึงมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ เห็นว่าเป็นการใช้ดุลพินิจที่เหมาะสมแล้วตามข้อ 37 วรรคหนึ่ง (3) ของระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการจ้างลูกจ้างของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2536
ข้ออ้างที่ผู้ฟ้องคดียกขึ้นอ้างในคำอุทธรณ์ว่า กระบวนการ ขั้นตอนก่อนมีคำสั่งลงโทษทางวินัยผู้ฟ้องคดีสี่ครั้งไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบ ในศาลปกครองชั้นต้น จึงต้องห้ามตามข้อ 101 วรรคสอง แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543
โดยที่ มาตรา 39 แห่ง พ.ร.บ. ระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2542 บัญญัติว่า ในระหว่างที่ยังไม่มีการกำหนดมาตรฐานกลาง มาตรฐานทั่วไป หลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของพนักงานเทศบาล ให้พระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศหรือคำสั่งเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของพนักงานเทศบาล ที่ใช้บังคับอยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ยังคงใช้บังคับได้ต่อไปเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับพระราชบัญญัตินี้ คดีนี้ขณะเกิดเหตุพิพาท คณะกรรมการพนักงานเทศบาลจังหวัดยังมิได้กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของพนักงานเทศบาลหรือลูกจ้างของเทศบาล การดำเนินการต่าง ๆ ของลูกจ้างเทศบาลจึง อยู่ในบังคับของระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการจ้างลูกจ้างของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2536 ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ถูกฟ้องคดี (นายกเทศมนตรีนครลำปาง) ได้มีคำสั่งลงวันที่ 12 กรกฎาคม 2544 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนผู้ฟ้องคดีกรณีถูกกล่าวหาว่าหย่อนความสามารถในอัน ที่จะปฏิบัติหน้าที่ราชการ หากรับราชการต่อไป จะเป็นการเสียหายแก่ราชการ ซึ่งข้อ 3 ของกฎ ก.พ. ฉบับที่ 18 (พ.ศ. 2540) ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชพลเรือน พ.ศ. 2535 ว่าด้วยการสอบสวนพิจารณา กำหนดให้ผู้ถูกฟ้องคดีในฐานะผู้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน มีหน้าที่ต้องแจ้งคำสั่งดังกล่าวให้ผู้ฟ้องคดีทราบโดยเร็ว โดยให้ผู้ฟ้องคดีลงลายมือชื่อและวันที่รับทราบคำสั่งไว้เป็นหลักฐานด้วย ปรากฏว่าผู้ถูกฟ้องคดีมิได้แจ้งคำสั่งดังกล่าวให้ ผู้ฟ้องคดีทราบโดยตรง เนื่องจากได้ให้ผู้อื่นรับคำสั่งดังกล่าวแทน จึงไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้ฟ้องคดีได้รับทราบคำสั่งดังกล่าว ซึ่งทำให้ผู้ฟ้องคดีไม่อาจทราบได้ว่าผู้ฟ้องคดีถูกกล่าวหาในเรื่องใด และผู้ถูกฟ้องคดีแต่งตั้งผู้ใด ตำแหน่งใดเป็นคณะกรรมการสอบสวน ทำให้ผู้ฟ้องคดีไม่อาจใช้สิทธิคัดค้านกรรมการสอบสวนตามข้อ 8 ของกฎ ก.พ. ฉบับที่ 18 ดังกล่าว กรณีถือไม่ได้ว่า เป็นการแจ้งคำสั่งโดยชอบตามข้อ 5 (1) ของกฎ ก.พ. ฉบับเดียวกัน แต่เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2544 คณะกรรมการสอบสวนเรียกผู้ฟ้องคดีไปให้ถ้อยคำ คณะกรรมการสอบสวนได้แจ้งและอธิบายข้อกล่าวหาให้ผู้ฟ้องคดีทราบ ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้รับทราบข้อกล่าวหาและสิทธิในการแก้ ข้อกล่าวหาแล้ว และได้ยอมรับว่าได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหาทุกประการ โดยผู้ฟ้องคดีมิได้คัดค้านคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนแต่อย่างใด จึงเป็นกรณีที่ปรากฏชัดแจ้ง ผู้ถูกฟ้องคดี จึงไม่จำต้องสอบสวนตามวิธีการและขั้นตอนตามข้อ 5 (1) ของกฎ ก.พ. ฉบับที่ 18 ฉบับดังกล่าว แต่อย่างใด ทั้งนี้ ตามข้อ 2 (2) ของกฎ ก.พ. ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2539) ออกตามความใน พ.ร.บ. ระเบียบข้าราชพลเรือน พ.ศ. 2535 ว่าด้วยกรณีหย่อนความสามารถ ในอันที่จะปฏิบัติหน้าที่ราชการ บกพร่องในหน้าที่ราชการ หรือประพฤติตนไม่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ราชการที่ปรากฏชัดแจ้ง กรณีจึงถือได้ว่าผู้ถูกฟ้องคดีได้ดำเนินการตามขั้นตอนและวิธีการที่กฎหมาย กำหนดเพื่อมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ส่วนการใช้ดุลพินิจของผู้ถูกฟ้องคดีในการออกคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีออก จากราชการชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ นั้น เห็นว่า ผู้ฟ้องคดีมีพฤติการณ์ละทิ้งหน้าที่โดยไม่อยู่เวรเตรียมพร้อม จนถูกลงโทษทางวินัยมาแล้วสี่ครั้ง เป็นการจงใจไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการ และแสดงถึงความเป็น ผู้บกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ การให้ผู้ฟ้องคดีรับราชการต่อไปอาจเกิดความเสียหายแก่สาธารณชนและราชการได้ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวน รวมทั้งพยานหลักฐานต่างๆ และเห็นว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้หย่อนความสามารถ จึงมีคำสั่งให้ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ เห็นว่าเป็นการใช้ดุลพินิจที่เหมาะสมแล้วตามข้อ 37 วรรคหนึ่ง (3) ของระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการจ้างลูกจ้างของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2536
ข้ออ้างที่ผู้ฟ้องคดียกขึ้นอ้างในคำอุทธรณ์ว่า กระบวนการ ขั้นตอนก่อนมีคำสั่งลงโทษทางวินัยผู้ฟ้องคดีสี่ครั้งไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบ ในศาลปกครองชั้นต้น จึงต้องห้ามตามข้อ 101 วรรคสอง แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. 2543
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น